หุ้น ORI จะทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอดในสถานการณ์ตอนนี้
หุ้น ORI หรือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แบรนด์ ORIGIN ที่กำลังได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตัวบริษัทเองได้มีการปรับ เปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ โดยการทำกลยุทธ์ในการเติบโตใน 5 ช่วงชีวิตของคน
อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เป็นอุตสาหกรรมที่คนไม่ค่อยให้มูลค่า เนื่องจากคนมองว่าเป็นการขายสินค้าที่มูลค่าสูง ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก และการที่มีลูกค้าซื้อซ้ำน้อย จึงหันมาปรับกลยุทธ์ โดยมีการรวมกับธุรกิจต่าง ๆ ตอนนี้บริษัทอาจจะไม่ได้ทำแค่อสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป อาจจะมีธุรกิจอย่างอื่นที่เข้ามาช่วยเสริมรายได้มากขึ้น ต้องดูกันต่อไปว่า หุ้น ORI จะทำอย่างไรให้บริษัทอยู่รอดในสถานการณ์โควิด-19 นี้
สัดส่วนรายได้
แนวราบ (บ้าน) 35%
แนวสูง (คอนโดมิเนียม) 65%
โครงการที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2021
มูลค่า 20,000 ล้าน จำนวน 20 Project แบ่งเป็น
บ้าน มูลค่า 10,400 ล้านบาท คิดเป็น 52%
คอนโดมิเนียม มูลค่า 9,600 ล้านบาท คิดเป็น 48%
ทำเลของโครงการที่กำลังจะเปิดใหม่
กลยุทธ์ใหม่ของธุรกิจ
- 1.มีแผนการเติบโตใน 5 ช่วงอายุคน โดยวางแผนไว้ให้ลูกค้าในอนาคต สามารถเปลี่ยนลูกค้าจาก One time ให้เป็นลูกค้าทั้ง 5 ช่วงชีวิตได้ ตั้งแต่เกิด เป็นวัยรุ่น จนเรียนมหาลัย เข้าสู่วัยทำงาน และช่วงบั้นปลายของชีวิต คือ วัยชรา
- 2.มีการปรับเปลี่ยนไปร่วมธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจบริการ ธุรกิจสุขภาพผู้สูงอายุ ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจทางด้านการเงิน
งบการเงิน
ปี 2560 รายได้ 9,346.66 ล้านบาท GPM 35.40% กำไร 2,020.88 ล้านบาท NPM 21.62%
ปี 2561 รายได้ 16,323.01 ล้านบาท GPM 40.71% กำไร 3,337.95 ล้านบาท NPM 20.68%
ปี 2562 รายได้ 13,663.56 ล้านบาท GPM 47.46% กำไร 3,027.13 ล้านบาท NPM 22.99%
ปี 2563 รายได้ 10,933.37 ล้านบาท GPM 39.84% กำไร 2,661.89 ล้านบาท NPM 25.28%
โดยในภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการหดตัวร้อยละ 25 แต่ กำไรสุทธิของ หุ้น ORI หดตัว ร้อยละ 12
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
ปี 2560 = 1,452.48 ล้านบาท
ปี 2561 = 2,871.64 ล้านบาท
ปี 2562 = 2,687.27 ล้านบาท
ปี 2563 = 1,822.22 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทพยายามคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร โดยเพิ่ม Skill ให้กับพนักงานของบริษัท ซึ่งให้พนักงานออฟฟิศลงมาช่วยขายสินค้า ทำให้ค่าใช้จ่ายลดไปกว่าครึ่ง ส่งผลให้ อัตรากำไรสุทธิดีขึ้นด้วย
ประเด็นที่น่าติดตาม
- 1.หุ้น ORI มีเป้าหมายการเติบโต 25% โดยมี Backlog อยู่ 30,000-40,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1 มียอดขายไปแล้ว 7,500 ล้านบาท
- 2.การจับมือกับ JWD เป็นด้านโลจิสติกส์ โดยการทำคลังสินค้าให้เช่าให้กับแม่ค้าออนไลน์ จากการเติบโตของ E-commerce โดยทาง JWD มีลูกค้าอยู่แล้ว มีการแบ่งสัดส่วนกันคนละ 50% ในกลางปี 2565 จะมีการรับรู้รายได้
- 3.ธุรกิจ Healthcare Center อยู่ที่ บางนา กับ รามอินทรา โดยจะเป็นที่พักอาศัยพร้อมกับบริการดูแลผู้สูงอายุ โดยจะมีห้องบริการดูแลผู้ป่วยติดเตียงอยู่ 400-500 เตียง คล้ายกับบริการ Service Apartment
- 4.Primo Service Solution เป็นธุรกิจด้านการบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด ช่าง บริการล้างรถ และการจัดสวน มีลูกค้าใช้บริการแล้วกว่า 100,000 ราย เป็นการดูแลลูกค้าในโครงการของ ORIGIN กว่า 50 โครงการ โดยทาง บริษัท ORI กินส่วนต่างจาก Partner ซึ่งกำลังจะ IPO ในปีหน้า บริษัท Primo มีเป้าหมายการเติบโต 25-30% ต่อปี
- 5.การจับมือกับ AWC โดยมาทำธุรกิจซื้อหนี้มาบริหาร ซึ่งจะซื้อเฉพาะบ้าน ตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังขอไลเซนส์จากแบงค์ชาติอยู่ คาดว่าน่าจะได้ในไตรมาส 3 น่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ในการซื้อหนี้จำนวน 10,000 ล้านบาท
ความเสี่ยง
- เนื่องจากบริษัทยังคงพึ่งพารายได้จากอสังหาริมทรัพย์มาอยู่ ต้องคอยดูสภาพทางเศรษฐกิจว่ายังสามารถเติบโตได้ไหม ยังคงมีการแข่งขันกันลดราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเพิ่มยอดขาย และยังคงต้องดู Margin ของธุรกิจว่ายังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิได้อยู่ไหม
- โดยปัจจุบันบริษัทมี D/E อยู่ที่ 1.91 ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 13.62 แสดงว่าบริษัทยังคงมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ต้องควรระวังความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยของบริษัทด้วย
*บทความนี้ไม่ได้เป็นการชี้นำหุ้นแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่การแชร์มุมมองจากข้อเท็จจริงเท่านั้น นักลงทุนโปรดใช้วิจารณญาณ
แอด Line มีของแจก ฟรี!!!
Line id : @MrStock
? Line : https://MrStock.me/line/
( คลิก ที่ลิ้งค์เพื่อแอดเพื่อนได้เลย)
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=1eZIKTstdtk&t=1803s
ที่มาภาพปก https://www.origin.co.th/