หุ้น คือ อะไร (Stock) ฉบับ มือใหม่ ผู้เริ่มต้น

หุ้น ไม่ใช่แค่ ตัวเลขราคา ที่วิ่ง ๆ ให้ซื้อขาย แต่เบื้องหลัง คือ กิจการ มีการดำเนินงานอยู่ เราสามารถเลือกลงทุนกับกิจการที่ดีได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ ในระยะยาว

หุ้น ก็คือ กิจการ

ถ้าเราเคยฝันอยากเป็นเจ้าของกิจการเราไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจให้เหนื่อยเอง โดยเลือกลงทุนหุ้นแทนแล้วเติบโตไปกับกิจการ

ตัวอย่างเช่น บริษัท ขนมปังอร่อย จำกัด

เริ่มก่อตั้งธุรกิจมา โดยแบ่งเป็นสัดส่วน 1,000 หุ้น
ซึ่งปกติแล้ว 1 หุ้น ก็ถือว่ามี 1 สิทธิ์ 1 เสียง ในการโหวตต่าง ๆ
หากเราถือไว้ 1 หุ้น ก็เปรียบเสมือนว่า เป็นเจ้าของบริษัท เช่นเดียวกัน

• แต่มีอำนาจในสัดส่วนตามที่เราถือ ถือหุ้นมากก็มีสิทธิ์มากถือหุ้นน้อยก็มีสิทธิ์น้อย

เราสามาถเป็นเข้าของกิจการได้โดย ลงทุน บริษัท ที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ผลตอบแทน ที่ได้จาก การลงทุนหุ้น จะแบ่งเป็น 2 อย่าง หลัก ๆ

1. ได้เงินปันผล หากกิจการทำกำไรได้ก็จะมาแบ่งผลกำไรกัน
2. ได้จากส่วนต่างราคาคือซื้อในราคาถูกแล้วขายในราคาแพง

หุ้น กับ ผลตอบแทนที่ได้รับ

1. เงินปันผล จาก หุ้น (Dividend)

หากการดำเนินงานในรอบปี บริษัทมีผลกำไรสามารถนำผลกำไรนี้มาแบ่งให้กับผู้ถือหุ้น เรียกว่า “เงินปันผล”

• มักเป็นกิจการมั่นคง กระแสเงินสดดี

ผลตอบแทนจะประมาณ 3-6% ตามแต่ละบริษัท และผลดำเนินงาน

• ให้ผลตอบแทนมากกว่าฝากธนาคาร แต่ ก็เสี่ยงกว่า
• โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%

ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะยาว

• การลงทุนสไตล์ห่านทองคำ กินเงินปันผลไปเรื่อยๆ

2. ส่วนต่างราคา (Capital Gain)

เรียกง่ายๆ ว่า ซื้อถูก – ขายแพง

• มักเป็นกิจการที่เติบโตดี (Growth Stock) กำไรเติบโตต่อเนื่อง

ไม่ต้องเสียภาษี

ต้องวิเคราะห์และทำการบ้านค่อนข้างมาก

• มีโอกาสทำกำไรได้มาก หากต้องการสร้างพอร์ตควรเน้นกลุ่มนี้

สามารถเป็นได้ทั้งการลงทุนและการเก็งกำไร

• มีโอกาสทั้งกำไรและขาดทุน

หุ้น VS ทางเลือกการลงทุนอื่น

นอกจาก หุ้น แล้วยังมี การลงทุน ที่น่าสนใจ เช่น

เงินฝาก ได้แก่

• เงินฝากธนาคาร ฝากออมทรัพย์
• ฝากประจำ

ตราสารหนี้ ได้แก่

• พันธบัตรรัฐบาล
• ตั๋วเงินคลัง
• หุ้นกู้ บริษัทเอกชน

โดยทั่วไปจะให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์
ตราสารหนี้แต่ละประเภทก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
แต่จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เพราะถือว่า คือ เจ้าหนี้
ส่วนหุ้น คือ เจ้าของกิจการ (บริษัท)

อนุพันธ์ ได้แก่

• ฟิวเจอร์
• ออฟชัน
• Warrant
• DW

ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้น มีโอกาสทำกำไร และ ขาดทุนได้มากเช่นกัน

การลงทุนทางเลือกอื่นๆ เช่น

• ทองคำ
• อสังหาริมทรัพย์

อัตราผลตอบแทนทบต้น ของ หุ้น

อัตราดอกเบี้ยทบต้น คือ สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก

และ เลข 72 คือตัวเลขที่จะบอกว่าเราต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่เพื่อให้ได้ ผลตอบแทน เป็น 2 เท่าในการลงทุน

ยกตัวอย่างเช่น หากเราได้อยากผลตอบแทน 12% = 72/12 = 6 ปี

จะเห็นได้ว่าหากเราหวังผลตอบแทน 12% จะต้องใช้เวลา 6 ปีในการทำให้ได้ผลตอบแทนเป็น 2 เท่าโดยที่ไม่ถอนเงินจำนวนดังกล่าวออกมาเลย

ซึ่งหากเราหวังผลตอบแทนสูงความเสี่ยงก็จะสูงตาม

ความยากใน การลงทุน หุ้น

หุ้นนั้นไม่ได้โตเป็นเส้นตรง เพราะมีความผันผวนอยู่ตลอด

ซึ่งจะเห็นได้จากวิกฤติในแต่ละครั้ง

เช่น ต้มยำกุ้ง หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

ที่ทำให้ตลาดหุ้นนั้นลงมายังจุดต่ำ แต่ทุกวิกฤตินั้นย่อมมีโอกาสเสมอ ไม่ได้เป็นขาขึ้ขตลอด และขึ้นช้าต่างจากตอนขาลงจะเร็วและรุนแนงกว่าจะฟื้นก็นาน

Set Index จะมีความสอดคล้องกับ กำไรของบริษัทในตลาด และ GDP ของประเทศ ตลาดหุ้นนั้นจะชี้นำ และมีปฏิกิริยาไปก่อนเศรษฐกิจจริงเสมอ

เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจดี หุ้นขึ้น แนวโน้มเศรษฐกิจแย่ หุ้นลง เพราะฉะนั้นนักลงทุนจึงต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ วิเคราะห์พื้นฐาน และมีความเข้าใจตัวเลขทางเศรษศาสตร์

ดัชนี SET Index คือ ตัวชี้วัดตลาดหุ้นในภาพรวม ถ้าเพิ่มขึ้นแสดงถึงหุ้นโดยส่วนใหญ่ราคาขึ้น

นักลงทุน VS นักเก็งกำไร

ทุกแนวทางการลงทุนมีคนที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนั้นๆ เพราะฉะนั้น นักลงทุนจึงควรหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อจะได้หากลยุทธ์ในการลงทุนที่เหมาะสม

นักลงทุน (Investor)

1.ซื้อ เพื่อ ถือยาว
2.วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
3.ชอบหุ้นถูก
4.มองธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในมุมมองเจ้าของ

นักเก็งกำไร (Trader)

1.ซื้อเพื่อขายได้แพงกว่า ไม่คำนึงถึงพื้นฐานกิจการมากนัก
2.ทำกำไรระยะสั้น
3.ดูกราฟประกอบ
4.ดู Trend เป็นหลัก(แนวโน้มที่หุ้นจะขึ้น)

สไตล์การลงทุน พื้นฐาน VI, เทคนิคคอล

พื้นฐาน VI

ศึกษาข้อมูล, วิเคราะห์, อ่านงบ, มี Mindset ในการเป็นเจ้าของกิจการ และอดทนต่อความผันผวนของตลาดได้ในยามตลาดเป็นขาลง

เทคนิคคอล

หมั่นฝึกฝน, เข้าใจพฤติกรรมราคา, ศึกษา Indicator ซึ่งมีเครื่องมือมากมายในการประกอบการตัดสินใจ, กล้าตัดขาดทุน

Hybrid (ไฮบริด)

คือ การนำทั้ง 2 สาย มาประยุกต์เข้าด้วยกัน เลือกหุ้นจากแนวพื้นฐาน กิจการที่ดี แล้วใช้ เทคนิคคอล เป็นตัวช่วยหา จังหวะเข้า หรือ ขาย

ข้อควรระวังสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษา อาจจะทำให้สับสนในช่วงแรกๆ (มือใหม่อยู่) แนะนำว่า ศึกษาสายใดสายนึงจนพอชำนาญแล้วค่อย ศึกษาสายอื่นเพิ่มเติม

ทั้ง 2 สายมี Mindset ต่างกันพอสมควร หากถามว่าสามารถใช้ 2 สายนี้ควบคู่กันได้ไหม??

คำตอบคือ ทำได้ แต่ข้อควรระวังคือ มือใหม่ในการลงทุนนั้นควรเลือกทางใดทางหนึ่งในช่วงแรก มิฉะนั้นหลักการของแต่ละสายจะตีกันจนเราไม่สามารถจับอะไรได้ เช่น หุ้นลง VI บอกว่าถึงเวลาต้องซื้อ แต่ Technic บอกเป็นช่วงเวลาที่ต้องขาย
ดังนั้น ควรเลือกสายใดสายหนึ่งเป็นหลักก่อนแล้วค่อยใช้อีกสายมาประกอบ

ลงทุน ในบริษัทที่ดี

• อยู่ในธุรกิจที่ดีมีโอกาสเติบโต
• มีกำไรต่อเนื่องสม่ำเสมอ
• งบการเงินมั่นคงหนี้น้อย
• มีผู้บริหารที่ดีเก่ง มีวิสัยทัศน์

สนใจ ลงทุนหุ้น แนว VI
ในทิศทางที่ถูกต้อง

มือใหม่ เริ่มต้น ลงทุนหุ้น แนว VI
แบบมั่นใจ ปูพื้นฐานให้ครบ
ง่ายกว่าอ่านเอง ย่อเวลามาให้แล้ว
คอร์ส Online ไม่มีหมดอายุ

✅ เคล็ดลับเลือกหุ้นดี ที่ทำเองได้
✅ หลักการ VI ที่นักลงทุนระดับโลกใช้
✅ วิเคราะห์พื้นฐานบริษัท หาเพชรในตม
✅ เศรษฐศาสตร์ ฉบับลงทุนหุ้น
✅ อ่านงบการเงิน แบบเข้าใจ
✅ ประเมินมูลค่าหุ้น ซื้อในราคาที่คุ้มค่า
✅ จิตวิทยาการลงทุน และอีกมากมาย

รายละเอียดและสมัคร

https://www.mrlikestock.com/course-vi/?web_StockIs=blog

หากคุณ คือ
? ผู้สนใจลงทุนหุ้น มือใหม่
? ลงทุนมาสักพักแล้วแต่ยังจับจุดไม่ได้
? นักเทรดแต่อยากเปิดใจสายพื้นฐาน
? มีความมุ่งมั่นอยากลงทุนอย่างยั่งยืน
? อยากมีพื้นฐานนำไปต่อยอด

? เนื้อหาประกอบด้วย 9 บท

รวม 75 คลิป
กว่า 24 ชั่วโมง
(ใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 4 วัน เต็มๆ)

? ในรูปแบบ คอร์ส Online

เนื้อหาทั้งหมดเสร็จแล้วพร้อมเรียนได้ทันที
รับชมได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอุปกรณ์
เรียนได้ตลอด ไม่มีวันหมดอายุ

? โครงสร้างเนื้อหาประกอบด้วย

สอบถามพูดคุยกันเองสบาย ๆ ได้ที่

Line : @MrStock
https://MrStock.me/line/
(คลิกเพื่อแอดเพื่อนได้เลย)